แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไปในช่วงบ่าย ทุกๆ คน ก็แทบไม่มีแรงจะยกขาเพื่อก้าวขึ้นไปต่อ เราพักกันบ่อยขึ้น เดินกันไปไม่กี่ก้าวก็ต้องพักกันแล้ว ลืมบอกไปว่าในกลุ่มของพวกเรามีผู้หญิงไปด้วย คนที่เคยเดินนำ ก็กลับตกหลังลงไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างช่วยฉุดกระชากลากถูกันไปอย่างทุลักทุเล เพราะต้องการให้ทุกคนขึ้นไปให้ถึงให้ได้
เพราะการที่จะลงไปข้างล่างนั้น คงทำได้ยาก เนื่องจากเราขึ้นกันในระยะทางที่เกินกว่าครึ่งกันแล้ว อีกอย่างก็จะมืดแล้วด้วย การเดินทางลงไปเสี่ยงต่อการพลัดหลงกันมากกว่า เพราะเหลือระยะทางกันอีกไม่มาก
เพราะการที่จะลงไปข้างล่างนั้น คงทำได้ยาก เนื่องจากเราขึ้นกันในระยะทางที่เกินกว่าครึ่งกันแล้ว อีกอย่างก็จะมืดแล้วด้วย การเดินทางลงไปเสี่ยงต่อการพลัดหลงกันมากกว่า เพราะเหลือระยะทางกันอีกไม่มาก
จนในที่สุดเราก็ขึ้นถึงยอดเขาจนได้ในเวลาประมาณเกือบ 3 ทุ่ม เพราะหลงทางกว่าจะเข้าถึงที่พัก ความเหนื่อยไม่ต้องพูดถึง แทบคลานกันเลยที่เดียว เหนื่อยจนไม่รู้สึกหิวเลย อยากจะนั่งหรือนอนตรงนั้นไม่อยากจะทำอะไรแล้ว หลายคนต่างก็โทษคนนำ เพราะเขาบอกว่าเคยมาแล้วถึง 5 ครั้ง แต่เพื่อนคนนี้ก็ยังอารมณ์ดี ตอบว่า ถึงมาแล้วก็หลงได้ทุกครั้งน่ะแหละ... อืมมมม....จริงของมัน
เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็มาเล่าให้คุณแม่ของผมได้ฟัง ท่านก็หัวเราะแล้วพูดออกมาประโยคหนึ่ง ผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ว่า “เมื่อเราเดินขึ้นเขา ร้องเพลงไป ดูดอกไม้ข้างทางไป เดี๋ยวก็ถึง แต่ถ้ามุ่งแต่จะขึ้นไปให้ถึง จะเหนื่อยมากๆ........” คุณคิดว่าไง?......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น